การเข้ามาของโปรตุเกสในอยุธยา
การเข้ามาของโปรตุเกสในอยุธยา
หลักฐานที่พบ ที่มา https://www.silpa-mag.com/history/article_37466 (21 ธ.ค. 62)
รุย ดือ บริตู (Rui de Brito) ชาวโปรตุเกสที่เดินทางมาตะวันออกไกลปลายศตวรรษที่ 15 เขียนถึงอัลฟงซู ดือ อัลบูแกร์เกอ (Afonso de Abuquerque) ว่า “เจ้าผู้ปกครองเมืองอาณาจักสยามมีน้ำพระทัยโอบอ้อมอารีและปกครองคนหมู่มาก ทั้งมีดินแดนในพระราชอำนาจมากมายที่ติดกับทะเล” เอกสารนี้เชื่อว่าเป็นเอกสารโปรตุเกสฉบับแรกที่เกี่ยวกับสยาม เป็นเอกสารที่โปรตุเกสใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจติดต่อการค้าและการยุทธ์ในสยาม
กัสปาร์ กอไรญา (Gasper Correira) เขียนว่า สยามกับโปรตุเกสเริ่มติดต่อตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยอัลฟงซู ดือ อัลบูแกร์เกอ อุปราชรัฐโปรตุเกสแห่งอินเดีย ผู้พิชิตเมืองมะละกาส่งดูอาร์เต เฟร์นันเดซ เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับกษัตริย์เมืองสยาม เชื่อว่ารู้จักอยุธยาผ่านทางมะละกา
ความสัมพันธ์ระหว่างชาวสยามกับชาวโปรตุเกสทั้งในด้านการสงครามและการศาสนาปรากฏหลักฐานอยู่ในบันทึกของชาวโปรตุเกสอย่างแฟร์เนา เมนเดซ ปินโต( Fernão Mendez Pinto ค.ศ.1509-1583) และบาทหลวงอันโตนิโอ ปินโต (Antonio Pinto ค.ศ.1664-1696)
เหตุผลที่โปรตุเกสเข้ามาในอยุธยา ที่มา https://www.silpa-mag.com/history/article_37466 (21 ธ.ค. 62)
บาทหลวงสุรชัย ชุ่มศรีพันธ์ หัวหน้าหอจดหมายเหตุอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ อธิบายเรื่องเหตุผลที่ชาวโปรตุเกสเข้ามาในสยามเป็นชาติแรกไว้ในบทความเรื่อง “มิสซังในอดีต…สู่อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ” ว่า นอกจากเหตุผลด้านการค้าแล้ว โปรตุเกตต้องการเผยแพร่ความเชื่อศาสนาคริสต์ไปยังดินแดนที่เพิ่งค้นพบใหม่ ๆ ด้วย
เหตุผลที่ไทยให้โปรตุเกสเข้ามา ที่มา http://www.catholichaab.com/main/index.php/2015-09-22-02-53-59/2015-09-30-02-37-26/1781-2018-09-07-03-23-12 (7 ก.ย. 2561)
โปรตุเกสเดินทางเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับอยุธยาเป็นครั้งแรก ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 กล่าวคือ หลังจากที่โปรตุเกสตีเมืองมะละกาและเข้ามายึดเพื่อปกครองได้ใน พ.ศ. 2054 อัลฟองโซ เดอ อัลบูเคอร์คี (Afonso de Albuquerque) ซึ่งเป็นเจ้าเมืองหรือผู้สำเร็จราชการมะละกาขณะนั้น ได้จัดส่งทูตเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาเพื่อกราบบังคมทูลให้ทราบว่าโปรตุเกสปกครองมะละกา ซึ่งเดิมเป็นเมืองขึ้นของไทย อีกทั้งยังแสดงความประสงค์จะเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย โดยการให้สิทธิทางการค้ากับไทยที่มะละกาอีกด้วย ซึ่งในครั้งนั้นสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ก็ได้ตอบรับไมตรีของโปรตุเกสและลงนามในสัญญาที่ถือเป็นสัญญาฉบับแรกกับชาติตะวันตกในประวัติศาสตร์เมื่อ พ.ศ. 2059 อยุธยายอมตอบรับไมตรี ด้านหนึ่งเพราะในยามนั้นอยุธยากำลังมีศึกติดพันกับเมืองเชียงใหม่อยู่ด้วย ดังนั้น การเปิดศึกอีกด้านย่อมไม่เป็นสิ่งที่ควรอย่างแน่นอนขณะที่อีกทางหนึ่งนั้นด้วยแสนยานุภาพของโปรตุเกสที่เปิดแนวรบมาตลอดเส้นทางโดยเฉพาะตามเมืองท่าสำคัญ หากสยามไม่ยอมรับพระราชไมตรีก็จะเป็นเหตุให้เกิดสงครามขึ้นมาได้ นอกจากนั้นทางสยามยังเห็นถึงการแสดงออกของโปรตุเกส ที่ประสงค์จะทำการค้ากับสยามมากกว่าที่จะยึดดินแดนเป็นเมืองขึ้นอย่างที่ทำมาตลอดเส้นทางการค้า จึงทำให้เกิดการตอบรับไมตรีในที่สุด
การตั้งถิ่นฐานชาวโปรตุเกสในอยุธยา ที่มา https://www.silpa-mag.com/history/article_37466 (21 ธ.ค. 62)
ปฏิพัฒน์ พุ่มพงษ์แพทย์ ผู้เคยทำงานกองโบราณคดี กรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ. 2527 บรรยายว่า หมู่บ้านโปรตุเกสกำเนิดเมื่อประมาณ พ.ศ. 2083 ตามพระบรมราชโองการฯ ของสมเด็จพระไชยราชาธิราช พระราชทานที่ดินให้ชาวโปรตุเกส 120 คน ถือเป็นบำเหน็จการทำความดีความชอบจากการเข้าร่วมรบในสงครามเชียงกรานจนได้รับชัยชนะ
ชาวโปรตุเกสเริ่มเข้ามาตั้งบ้านเรือนเพื่อทำการค้าในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 หลังจากที่ดูอาร์เต โคเอโย ทำสัญญาได้เป็นผลสำเร็จ ชาวโปรตุเกสก็รับภาระสำคัญอีกประการในกองทัพคือจัดหาอาวุธพร้อมกับฝึกหัดการใช้งาน ขณะที่พระเจ้าแผ่นดินสยามพระราชทานพระราชานุญาตให้ชาวโปรตุเกสตั้งถิ่นฐานและค้าขายในประเทศได้รวมทั้งให้อิสระในการนับถือศาสนา สามารถสร้างไม้กางเขนไว้กลางเมือง
เมื่อถึงช่วงทรงทำสงครามกับเมืองเชียงใหม่ การรบก็ได้ประโยชน์จากทหารอาสาโปรตุเกส และปราบทัพเชียงใหม่อย่างราบคาบ การรบระหว่างสยามกับเชียงใหม่มีปรากฏในบันทึกของปินโต และพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาที่บรรยายศึกเมืองเชียงกรานเมื่อ ค.ศ. 1538 (พ.ศ. 2081)
พิทยะ ศรีวัฒนสาร นักวิชาการที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับโปรตุเกสอธิบายเนื้อหาในบันทึกของปินโตซึ่งบอกเล่าว่า กษัตริย์สยามให้คำมั่นสัญญากับชาวต่างชาติทุกแห่งที่ร่วมรบด้วยจะได้รับรางวัล การยกย่อง ผลประโยชน์ ได้รับอนุญาตให้สร้างศาสนสถานในแผ่นดินสยามได้ บันทึกของปินโต ยังเล่าถึงเหตุการณ์หลังสงครามที่บอกว่า สมเด็จพระไชยราชาเสด็จสวรรคตเพราะทรงถูกวางยาพิษ โดยผู้ลงมือคือพระมเหสีของพระองค์ที่สมคบกับออกขุนชินราช เมื่อพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ของสมเด็จพระไชยราชาขึ้นเสวยราชสมบัติ ทั้งสองก็ลอบวางยาพิษพระมหากษัตริย์พระองค์น้อยและขึ้นครองราชย์แทน ไม่กี่เดือนต่อมา พระมหากษัตริย์และพระมเหสีก็ถูกปลงพระชนม์โดยออกญาพิษณุโลก เหล่าขุนนางก็ถวายราชสมบัติแด่พระอนุชาต่างมารดาของสมเด็จพระไชยราชา ซึ่งอุปสมบทเป็นพระภิกษุหลายพรรษา
หลังสิ้นรัชกาลสมเด็จพระไชยราชา สยามเริ่มตกอยู่สภาพสั่นคลอนกระทั่งพ.ศ. 2091 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเชษฐา ปีต่อมาพม่าก็เข้าโจมตีและล้อมสยาม ศึกครานั้นมีทหารโปรตุเกสที่ป้องกันเมืองนำมาโดยดิโอโก้ เปอไรร่า (Diogo Pereira) พร้อมทหารโปรตุเกสประมาณ 50 นาย ขณะที่พ่อค้าโปรตุเกสก็มักต้องร่วมรบด้วยหลายครั้งเพื่อเอาใจกษัตริย์และยังเป็นการป้องกันทรัพย์สินของตัวเอง
ในช่วงพ.ศ. 2147 เป็นต้นมาชาวยุโรปก็เข้ามามากขึ้นหลังกรุงศรีอยุธยาเริ่มมั่งคั่งมากขึ้น ชาวยุโรปที่เข้ามาก็อาศัยชาวโปรตุเกสที่ตั้งถิ่นฐานมาก่อนหน้าช่วยให้ความรู้และช่วยทำความเข้าใจด้านภาษา อาชีพที่สำคัญของชาวโปรตุเกสอีกประการในช่วงนั้นก็คือล่าม นักโบราณคดีคาดว่า ภาษาโปรตุเกสเองก็แพร่หลายในราชสำนัก พระราชวงศ์ และขุนนางก็พอจะใช้ภาษาโปรตุเกสได้
เหตุผลที่โปรตุเกสลดบทบาทลงในอยุธยา ที่มา https://www.silpa-mag.com/history/article_37466 (21 ธ.ค. 62)
บทบาทของชาวโปรตุเกสในอยุธยามีหลากหลายทั้งทางทหาร การค้า แต่อำนาจของชาวโปรตุเกสลดลงในช่วงที่ฮอลันดาและอังกฤษซึ่งมีอิทธิพลมากขึ้นในยุคนั้นเริ่มเข้ามา นักโบราณคดีเชื่อกันว่า ชาวต่างชาติที่เข้ามาในยุคนั้นก็มีสภาพกระทบกระทั่งกันเองเป็นบางคราวจากสาเหตุด้านการเมือง และศาสนา เนื่องจากชาวอังกฤษและฮอลันดานับถือคริสต์ศาสนา นิกายโปรแตสแตนท์ ส่วนโปรตุเกสนับถือนิกายคาทอลิค
ชาวโปรตุเกสก็จำเป็นต้องดิ้นรนมากขึ้น หลังมีแนวโน้มว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงโปรดปรานชนชาติอื่นมากกว่า พ.ศ. 2152 คณะสงฆ์นิกายเยซูอิตเดินทางมาสมทบในค่ายของโปรตุเกส เป็นกลุ่มเชี่ยวชาญเรื่องวิทยาการสมัยใหม่อย่างเช่นการคำนวณ พวกเขาเห็นว่าศาสนาไม่สามารถรักษาเสถียรภาพได้มั่นคง ก็เริ่มเข้าหาฐานขุนนางโปรตุเกสให้สนับสนุนกลุ่มบาทหลวงให้เป็นที่ปรึกษาพระเจ้าแผ่นดินด้านการนโยบายต่างประเทศและวิทยาการสมัยใหม่จากยุโรป
พระเจ้าแผ่นดินสยามหลายพระองค์เชื่อใจทหารรับจ้างโปรตุเกส นายทหารหลายรายได้รับตำแหน่งสูงในกองทัพและราชสำนัก หลังกรุงแตกในพ.ศ. 2112 มีหลักฐานว่าชาวโปรตุเกสเสียชีวิตอย่างน้อย 27 คน และมีตกเป็นเชลยอีกจำนวนหนึ่ง
ในจดหมายเหตุของบาทหลวงปินโต พระราชพงศาวดารไทย และปูมโหร ยังมีบันทึกถึงเหตุการณ์การตายในช่วง พ.ศ. 2239 โดยเล่าว่า เกิดไข้ทรพิษระบาด ผู้คนล้มตายกันมาก คนตายทั่วพระราชอาณาจักรเกือบ 8 หมื่นคน พื้นที่วัดไม่มีที่ฝังศพจนศพเกลื่อนกลาดตามทุ่งนา วัดที่อยู่ใกล้กับโรงเรียนของชาวต่างชาติก็ฝังศพแล้ว 4,200 ศพ เมื่อมีการขุดแต่งโบราณสถานบ้านนักบุญเปโตร ในหมู่บ้านโปรตุเกส ก็พบโครงกระดูกจำนวนมากนอนเรียงรายเป็นระเบียบอย่างแน่นหนาในชั้นดิน
ขณะที่กรุงแตกอีกครั้งในพ.ศ. 2310 ก็เป็นจุดจบความเป็นอยู่ที่ผสมกลมกลืนกับไทยซึ่งดำเนินมายาวนานเกือบ 300 ปีลงไปพร้อมกับกรุงศรีอยุธยา
Comments
Post a Comment